กรมวิชาการเกษตรแนะวิธีฟื้นฟูไม้ผล/ไม้ยืนต้นหลังประสบอุทกภัย

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า การเกิดอุทกภัยใหญ่แต่ละครั้งจะส่งผลให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากทั้งนาข้าว พืชไร่และพืชสวน โดยเฉพาะในส่วนของไม้ผล/ไม้ยืนต้นถ้าถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานจะทำให้ต้นตายได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ผล/ไม้ยืนต้นด้วย เช่น ชมพู่ พุทรา ละมุด มะขาม มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน จะทนต่อสภาพน้ำท่วมขังได้นานกว่ามะละกอ กล้วย ทุเรียน มะม่วง ส้ม มะนาว อย่างไรก็ตาม ถ้าระยะเวลาการท่วมขังไม่นาน ระดับน้ำที่ท่วมขังไม่สูงถึงระดับใบพืช และน้ำที่ท่วมขังมีการไหลไม่อยู่นิ่งและรากพืชไม่เน่า ต้นไม้จะมีชีวิตรอดได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลฟื้นฟูอย่างถูกวิธีหลังน้ำลด

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
ไม้ผล/ไม้ยืนต้น เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมขังจะส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ดังนี้ ระบบรากขาดออกซิเจน ทำให้รากไม่สามารถดูดน้ำและแร่ธาตุต่างๆไปเลี้ยงลำต้นที่อยู่เหนือดิน อาการใบเหลือง จะพบในวันต่อมา ซึ่งมักเกิดกับใบแก่ที่อยู่ทางส่วนโคนของกิ่ง ส่วนอาการซีดเหลืองมักพบในต้นไม้ที่ถูกน้ำท่วมขังต่อเนื่อง โดยอาจแสดงอาการทั่วทั้งต้น และอาจพบอาการใบลู่หรือห้อยลงด้วย อาการทิ้งใบ ดอก และผล เมื่อพืชอยู่ในสภาวะน้ำท่วมขังจะเกิดความเครียด ทำให้พืชสร้างเอทิลีนสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ต้นพืชทิ้งดอก และผล โดยอาการนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วและรุนแรงจนหมดหรือเกือบหมดต้น และ อาการตอบสนองอื่น ๆ ทางสรีรวิทยาของพืช เช่นการปิดของปากใบเพื่อลดการคายน้ำ ส่งผลให้การสร้างอาหารและส่งเลี้ยงรากลดลงร่วมกับรากขาดออกซิเจนในดินทำให้รากพืชเน่า


อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรมีคำแนะนำการฟื้นฟูไม้ผล/ไม้ยืนต้น หลังประสบอุทกภัย โดยเบื้องต้นเกษตรกรควรจะต้องมีการบำรุงรักษาให้พืชเกิดรากใหม่และให้แตกใบอ่อนโดยเร็ว ขณะเดียวกันต้องมีการจัดการดินให้ถูกต้องด้วยโดยขอให้เกษตรกรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้ หลังน้ำท่วมใหม่ๆ ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ และห้ามบุคคล รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด เพราะจะกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรม และอาจตายได้ และเร่งระบายน้ำออกจากแปลงและบริเวณโคนต้นพืชโดยเร็ว โดยอาจขุดร่องระบายน้ำ หรือใช้เครื่องช่วยสูบน้ำออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด รวมทั้งในสภาพน้ำท่วมที่มีการชะพาเอาดินหรือทรายมาทับถมในบริเวณแปลงปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้น หลังจากน้ำลดลงและดินแห้งแล้วควรทำการขุดหรือปาดเอาดินหรือทรายออกจากโคนต้นพืช

นอกจากนี้ ควรมีการตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง เป็นการลดการคายน้ำของพืชและเร่งให้พืชแตกใบใหม่เร็วขึ้น สำหรับไม้ผลที่กำลังติดผลให้ทำการ ปลิดผล ออกบ้าง เพื่อลดการใช้อาหารในต้นพืช การพ่นปุ๋ยทางใบให้แก่พืช เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น ควรพ่นปุ๋ยทางใบหรือปุ๋ยเกล็ดสูตรเสมอสูตร 20-20-20 หรือ 21-21-21 อัตราตามคำแนะนำข้างฉลาก พ่นทุก 10 วัน จนกระทั่งต้นแตกใบอ่อนจนเป็นใบเพสลาด ที่สำคัญ ไม้ผลหรือไม้ยืนต้น ภายหลังน้ำท่วมมักจะพบปัญหาเรื่องรากเน่าและโคนเน่า เพราะรากต้องอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ ดังนั้นเมื่อดินแห้งแล้วควรมีการพรวนดินบ้าง เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่รากพืช ทำให้รากพืชแตกใหม่ได้ดีขึ้น ในพืชที่มีปัญหาของโรครากเน่าและโคนเน่า หลังน้ำลดและดินแห้งควรมีการปรับปรุงสภาพของดิน โดยการโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ กรณีที่พบต้นที่แสดงอาการโรครากเน่าโคนเน่า ตรวจสอบแผลที่โคนต้น และตรวจดูว่ารากเน่าถอดปลอกหรือไม่ กรณีเกิดแผลที่โคนต้น ให้ถากเนื้อเยื่อที่เสียออกแล้วทาด้วยเมตาแลกซิล หากเกษตรกรมีข้อสงสัยสามารถสอบถามขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ งานไม้ผล สถาบันวิจัยพืชสวน โทรศัพท์ 0-2940-5484 ต่อ 124









กรมวิชาการเกษตร ข่าว